Tag Archives: ทัวร์ญี่ปุ่น

เทศกาลวันวาเลนไทน์ในประเทศญี่ปุ่น

japan-0018

ใกล้จะเข้าเดือนกุมภาพันธ์แล้ว แต่ก็ยังคงหนาวอยู่เลย พูดถึงเดือนกุมภาพันธ์คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็คงนึกถึงวันวาเลนไทน์ แล้วคนไทยล่ะคะ?  ถ้ากำลังคิดจะพาคนรักคนรู้ใจไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น  ทัวร์ญี่ปุ่นก็มีเรื่องราวน่าสนใจของเทศกาลวันวาเลนไทด์ของชาวญี่ปุ่นมาฝากจ้ะ

ประวัติของวันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ว่ากันว่าเป็นวันสาบานความรักระหว่างชายและหญิง ในส่วนของชาวตะวันตกนั้น ก็จะมีการมอบการ์ด ดอกไม้ และของขวัญต่างๆ ให้แก่คนรักหรือคนที่เรารู้สึกดีด้วย ประเทศไทยเองก็คงไม่ต่างกันแต่ที่ประเทศญี่ปุ่นวันวาเลนไทน์เป็นวันที่ผู้หญิงมอบช็อคโกแลตให้แก่ผู้ชายเท่านั้น ที่นี่มีวัฒนธรรมแบบนี้

เพราะเมื่อญี่ปุ่นใกล้เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ ทั้งห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ก็จะนำเอา    ช็อคโกแลตวาเลนไทน์มากมายออกมาวางขาย รายการโทรทัศน์ก็จะมีการพูดถึงวันวาเลนไทน์ ตามสถานที่ต่างๆ ก็จะจัดให้มีงานอีเว้นท์ที่เกี่ยวกับวันวาเลนไทน์มากมาย เรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่เรื่องราวของ              วันวาเลนไทน์     ตามสถิติพบว่าประเทศญี่ปุ่นมีการขายช็อคโกแลตมากกว่า 4 แสนล้านเยนต่อปี โดยที่ 10 % ในนั้นจะขายดีในช่วงวาเลนไทน์นั่นเอง ดูเหมือนว่าช็อคโกแลตจะเป็นอะไรที่อยู่คู่กับวันวาเลนไทน์ตัดกันไม่ขาดทั้งๆ ที่เดิมทีก็เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทขนม แต่เราก็อดซื้อไม่ได้ทุกทีเลยเมื่อถึงเทศกาล

สำหรับสาวๆญี่ปุ่นแล้ว นี่เป็นโอกาสที่เหมาะมากๆ ในการสารภาพความในใจกับคนที่เราชอบ โดยการมอบช็อคโกแลตให้แก่ชายหนุ่มผู้นั้น ไม่ว่าจะซื้อมาหรือลงมือทำเองตกแต่งให้สวยงาม ช็อคโกแลตที่มอบให้กับคนที่ชอบจะเรียกว่า ฮงเมช็อคโก้ 「本命チョコ」 ส่วนช็อคโกแลตที่มอบให้กับหนุ่มที่ทำงาน หรือเพื่อนที่เป็นผู้ชายนั้น เราจะเรียกกันว่า กิริช็อคโก้ 「義理チョコ」เป็นการมอบเป็นพิธีเพื่อตอบแทนน้ำใจตลอดเวลาที่ผ่านมา ราคาก็มีตั้งแต่ 100 เยน จนถึง 1,000 เยน อาจดูว่าไม่แพง แต่ถ้าให้หลายคนก็กระเป๋าฉีกได้เหมือนกันนะ

นอกจากนี้ก็ยังมี โตโมช็อคโก้ 「友チョコ」ที่ซื้อแลกกันเองในหมู่เพื่อนสาว และ โกะโฮบิช็อคโก้ 「ご褒美チョコ」ที่เป็นการซื้อช็อคโกแลตที่แพงเป็นพิเศษเป็นของขวัญให้ตัวเอง ทำไปทำมาดูเหมือนว่าคนญี่ปุ่น จะหมดเงินไปกับการซื้อช็อคโกแลตเยอะเหมือนกันนะ

ถ้าใครได้มีโอกาสไปที่ญี่ปุ่นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ก็ไม่ต้องตกใจนะจ้ะ เพราะคงเห็นแต่ช็อคโกแลตเต็มเกาะญี่ปุ่นไปหมด เพราะที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีวัฒนธรรม เรียกว่า ไวท์เดย์ (White Day) เป็นวันที่ฝ่ายชายจะได้มีโอกาสให้ช็อคโกแลตหรือของขวัญกลับคืนแก่สาวๆ บ้าง นั่นก็คือวันที่ 14 มีนาคม ครบ 1 เดือนหลังจากวันวาเลนไทน์นั่นเอง ดูเหมือนประเทศอื่นๆ จะไม่มีวัฒนธรรมนี้

แล้วคนไทยล่ะจ้ะ? ในวันวาเลนไทน์มีคนให้ช็อคโกแลตกันหรือเปล่า? ถ้ายังไม่มีก็ลองหาคนที่นั่งข้างๆก่อนก็ได้

ส่วนมีคู่แล้ว อยากไปสัมผัสบรรยากาศแบบเลิฟๆที่ญี่ปุ่น  ก็อย่าลืมติดต่อทัวร์ญี่ปุ่นได้ทุกเมื่อ  จะซื้อช็อกโกแล็ตมาแจกด้วยก็ไม่ว่ากันจ้ะ

ธรรมเนียมปฏิบัติการเข้าศาลเจ้า

japan-07

หากใครได้มีโอกาสไปทัวร์ญี่ปุ่นมาแล้วคงทราบดีว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีวัดวาอารามและศาลเจ้ากระจายอยู่ทั่วญี่ปุ่น ซึ่งศาลเจ้าที่เห็นเหล่านี้ล้วนเป็นศาลเจ้าที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ บางศาลเจ้ามีอายุยาวนานนับร้อยปีและเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านแถบนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นเราในฐานะนักท่องเที่ยวที่ไปทัวร์ญี่ปุ่นจึงควรที่จะรู้ธรรมเนียมในการปฏิบัติต่อศาลเจ้าของชาวญี่ปุ่นเพื่อที่จะได้ไม่ทำผิดพลาดจนเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศเขาครับ

               การเข้าศาลเจ้าของชาวญี่ปุ่นนั้นมีความหมายเพื่อขอขมาและแสดงความขอบคุณต่อธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงชีวิตของคนเรารวมไปถึงเพื่อสักการะขอพรให้ลูกหลานมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ซึ่งข้อปฏิบัติเวลาเข้าศาลเจ้าเพื่อสักการะเทพเจ้าขอพรมีดังต่อไปนี้

แรกสุดเมื่อมาถึงหน้าศาลต่อหน้าเจ้าตรงซุ้มประตูโทริอิควรหยุดค้อมศีรษะทำความเคารพหนึ่งครั้งก่อนเดินผ่านเข้าไปเพื่อแสดงความเคารพ

ต่อมาในระหว่างการเดินเข้าศาลเจ้านั้นห้ามเดินกึ่งกลางทางเดินเพราะเชื่อกันว่าบริเวณกึ่งกลางนั้นเป็นทางผ่านของเทพเจ้าควรเดินหลบไปริมทางด้านซ้ายหรือขวา

เมื่อถึงตัวศาลเจ้าแล้วให้ล้างมือบ้วนปากด้วยน้ำจากบ่อน้ำหน้าศาลเจ้าเพื่อเป็นการชำระล้างดวงวิญญาณ บาป หรือสิ่งอัปมงคลที่ติดตัวเรามา โดยใช้มือขวาหยิบกระบวยขึ้นมา ตักน้ำให้เต็มและเริ่มล้างจากมือซ้าย อย่าเพิ่งเทน้ำจนหมด จากนั้นเปลี่ยนไปใช้มือซ้ายจับกระบวยเพื่อล้างมือขวาและใช้มือขวาจับกระบวยตักน้ำขึ้นมาเทครึ่งหนึ่งใส่มือเพิ่มเพื่อบ้วนปากจากนั้นตั้งกระบอกขึ้น ปล่อยให้น้ำที่เหลืออยู่ในกระบอกไหลลงมาตามด้ามจับตามลำดับครับ

ธรรมเนียมการปฏิบัติในการเข้าศาลเจ้าที่บอกมาทั้งหมดนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่นักท่องเที่ยวที่มาทัวร์ญี่ปุ่นและอยากเข้าศาลเจ้าทุกคนจำเป็นต้องพึงปฏิบัติตามครับมิเช่นนั้นแล้วอาจจะถูกมองว่าไม่สุภาพและไม่เคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้

ทัวร์ญี่ปุ่นพาแวะนมัสการพระใหญ่ไดบุตสึ แห่งเมืองคามาคุระ

จะไปเที่ยวกับทัวร์ญี่ปุ่นทั้งที  ไม่แวะนมัสการนมัสการพระใหญ่ไดบุตสึ แห่งเมืองคามาคุระ  ก็คงจะดูแปลกๆ ดังนั้นทัวร์ญี่ปุ่นก็เลยขออาสาพาคุณไปสัมผัสและเรียนรู้ประวัติอันน่าทึ่งของวัดแห่งนี้กันเลย

พระไดบุตสึ แห่งเมืองคามาคุระ (Kamakura Daibutsu, Great Buddha) 大仏  ถึงทางเข้าวัดพระใหญ่แห่งเมืองคามาคุระ สามารถซื้อบัตรเข้าชมแล้วเดินผ่านกลุ่มต้นสนที่ขึ้นเขียวชอุ่มสักพักก็ถึงลานกว้าง จึงเห็นองค์พระใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางแจ้ง พระใหญ่แห่งเมืองคามาคุระ (Kamakura Daibutsu, Great Buddha) คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักกันในนาม Daibutsu ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า พระพุทธองค์ใหญ่แต่น้อยคนที่ทราบว่าชื่อจริงของ Daibutsu ที่ Kamakura องค์นี้คือ พระอมิตตาพุทธ นิโอยุราอิ (Amida Nyoyurai) ตั้งอยู่ภายใน วัดโคโตกุอิน (Kotoku-in Temple) องค์ที่เห็นในปัจจุบันสร้างจากสำริด เสร็จเมื่อปี พ.ศ.1795 ความสูงรวมฐานอยู่ที่ 13.35 เมตร เฉพาะตัวองค์พระนั้นสูง 11 เมตร น้ำหนักราว 122 ตัน ถ้ามองไกลๆ จะเห็นองค์พระที่ไม่สมส่วน ดูจากพระหัตถ์นั้นดูเล็กนิดเดียว หากอยากดูองค์พระนี้ให้สมส่วน ต้องเข้าไปยืนใกล้ๆ ห่างจากองค์พระ 4-5 เมตรแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไป จะเห็นองค์พระดูสมส่วนรับกันทั้งองค์สวยงามขึ้น ส่วนองค์พระที่มองเห็นเป็นสีเขียวนั้น เกิดจากการที่สำริดทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับสภาพอากาศทั้งฝนและหิมะมายาวนานจนกลายเป็นสีเขียว หากสังเกตให้ดีจะเห็นรอยเชื่อมต่อโลหะ เชื่อมพระพุทธรูปองค์นี้ให้เป็นรูปร่างซ้อนกันขึ้นไปรวมทั้งหมด 8 ชิ้น  ด้วยภูมิประเทศที่เป็นที่ราบโอบล้อมด้วยขุนเขาทั้งด้านหลังและด้านข้างอีกทั้งมีด้านหน้าที่หันสู่ทะเล ซึ่งเป็นทำเลที่ถูกต้องตามหลักการของฮวงจุ้ยที่รับมาจากจีนทำให้โยริโมโตะ มินาโมโตะ (Yorimoto Minamoto) โชกุนคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เลือกเมือง คามาคุระเป็นที่ตั้งกองบัญชาการปกครองประเทศ อันเป็นการเริ่มต้นของสมัยคามาคุระ (ค.ศ.1180-1333)ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่พุทธศาสนาได้เผยแผ่มาจากจีนและเกาหลี ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่ยังปรากฏอยู่ในเมือง คามาคุระ อันบ่งบอก ถึงร่องรอยความเจริญของศาสนาพุทธหลายนิกาย วัดวาอารามมากมายถูกสร้างขึ้นตามความศรัทธาของโชกุน หรือผู้มีฐานะในสมัยนั้นตามแต่จะอุปถัมภ์พุทธศาสนานิกายที่ตนนับถือ แรงบันดาลใจหลังจากการไปร่วมงานบูรณะ Daibutsu ที่เมือง Nara ทำให้โชกุนโยริโมโตะ มินาโมโตะ ประสงค์ที่จะสร้าง Daibutsu ในลักษณะเดียวกันที่ Kamakura ตามแบบความเชื่อในลัทธิ Jodo ซึ่งตนให้การอุปถัมภ์อยู่ แต่โชกุนได้เสียชีวิตลงในขณะที่การดำเนินการสร้างเพิ่งจะอยู่ในขั้นเริ่มต้นจากนั้น Yoriie Minamoto บุตรชายได้ขึ้นดำรง ตำแหน่งโชกุนแต่กลับถูกครอบงำอำนาจจากตระกูล Hojo จากทางฝ่ายมารดาซึ่งให้การสนับสนุนนิกาย Zen ทำให้การสร้าง Daibutsu ในนิกาย Jodo ต้องมีอันล้มเลิกไป ต่อมา Inada Notsubone สตรีที่เคยรับใช้โชกุน โยริโมโตะ มินาโมโตะ ต้องการที่จะสานต่อการสร้าง Daibutsu โดยได้รับความช่วยเหลือ จากหลวงพ่อโจโคะ (Joko) ที่ได้ร่วมเดินทางไปทั่วญี่ปุ่น เพื่อรับบริจาคเงินจากพุทธศาสนิกชนสำหรับใช้ในการสร้าง องค์พระใหญ่ในที่สุดงานสร้าง Kamakura Daibutsu พร้อมวิหาร ตามแบบอย่างจาก Nara ก็เสร็จ สมบูรณ์ ในปี ค.ศ. 1243 ซึ่งเดิมที องค์พระใหญ่ นั้นแกะสลักจากไม้มีขนาดความสูงถึง 24 เมตร ประดิษฐานในวิหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่โตกว่า Nara Daibutsu (ที่สร้างจากสำริดมีความสูง 14.73 เมตร)น่าเสียดายที่อีก 4 ปี ต่อมาเกิดพายุไต้ฝุ่น พัดผ่านคามาคุระ สร้างความเสียหายให้กับ พระองค์ใหญ่ Daibutsu และวิหาร ซึ่งตกลงมาแตกหักเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ ทำให้ Inada Notsubone และหลวงพ่อโจโคะ ต้องออกเดินทางอีกครั้งเพื่อบอกบุญสำหรับการสร้าง Daibutsu องค์ใหม่ เมื่อรวบรวมปัจจัยครบหมดแล้วครั้งนี้จึงเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่คงทนถาวรอย่างสำริดเหมือน กับองค์ที่ Nara ถึงกระนั้นก็ตามการหล่อ Daibutsu องค์ใหม่นี้ก็ประสบความล้มเหลวหลายครั้ง จนกระทั่งได้ช่างฝีมือดี 2 คนชื่อ ทันจิ ฮิซาโตโมะ (Tanji Hisatomo) และ โกโรอิมง โอโนะ (Goroe-mon Ono) มาช่วยหล่อองค์พระได้สำเร็จในปี พ.ศ. 1795 ประดิษฐานในวิหารของวัดโคโตกุอิน (Kotoku-in Temple)อีกเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้ Daibutsu ที่ Kamakura นี้แตกต่างจากที่ Nara อย่างมีนัยสำคัญ คืออมิตตาพุทธองค์นี้เกิดจากจิตศรัทธาของประชาชนญี่ปุ่นทั่วประเทศที่มีส่วนร่วมในการสร้าง Daibutsu ถึง 2 ครั้งด้วยกันโดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆ จากรัฐ ระยะเวลา 153 ปีของสมัย Kamakura ต้องมีอันสิ้นสุดลงเนื่องจากความอ่อนแอของโชกุน และการแทรกแซงจากตระกูล Joho (ซึ่งอุปถัมภ์นิกาย Zen และเคยขัดขวางการสร้าง Daibutsu ตั้งแต่แรก) จากนั้นในปี ค.ศ. 1335 ก็เกิดพายุไต้ฝุ่นพัดกระหน่ำ Kamakura อีกครั้ง กองกำลังซามูไรกว่า 500 คนของตระกูล Joho ที่กำลังรบอยู่ในสงครามได้หนีเข้าไปหลบพายุในวิหารของวัดโคโตกุอิน (Kotoku-in Temple) แต่ในที่สุดพระวิหารก็ไม่สามารถต้านความแรงของพายุได้และพังลงมาทับกองทัพซามูไร ของตระกูล Joho เสียชีวิตทั้งหมดและเหลือไว้เพียง Daibutsu องค์เดียวหลังพายุสงบ จากนั้นก็เกิดพายุไต้ฝุ่นบ้าง แผ่นดินไหวบ้าง ทำให้วิหารที่สร้างครอบองค์พระได้รับความเสียหายไปหมด แม้จะสร้างขึ้นมาใหม่อีกหลายครั้ง ก็ถูกภัยธรรมชาติเหล่านี้ทำลายไปหมด จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2041 เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ (Tsunami) พัดถล่มชายฝั่งเมืองคามาคุระกวาดเอาวิหารและบ้านเรือนราษฎรลงทะเลไป แต่องค์พระใหญ่นั้นกลับประดิษฐานอยู่กับที่ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน ยังคงประทับอยู่กลางแจ้งตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ช่วยปกป้องเมืองคามาคุระให้รอดพ้นจากภัยธรรมชาติตราบจนถึงทุกวันนี้ (กองทัพมองโกล ที่เข้ามารุกรานคามาคุระถึง 2 ครั้ง ต้องถอยทัพกลับไป เพราะเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ของพระองค์ใหญ่ทั้ง 2 ครั้ง 2 ครา นี้ด้วยเช่นกัน) จึงเป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาจากคนญี่ปุ่นมาก ด้วยสัจธรรมคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า ความดีเท่านั้นที่คงทนเห็นได้ชัดว่าแม้แต่ภัยธรรมชาติร้ายแรง อย่างเช่น พายุไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว และแม้กระทั่งTsunami ที่โหมกระหน่ำเข้ามาหลายต่อหลายครั้งก็ไม่สามารถทำความเสียหายต่อ Kamakura Daibutsu องค์นี้แต่อย่างใด มาร่วมกันทำความดีเถอะครับ เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดอีก โดยเฉพาะสถานการณ์ ในโลกปัจจุบัน ภายในบริเวณวัดนอกจากองค์พระใหญ่ที่สามารถเข้าไปชมในตัวองค์พระได้แล้ว ด้านซ้ายมือมีต้นสนที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปลูกในวโรกาสที่เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เยือนวัดโคโตกุอิน เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2474 ออกมาด้านหน้าวัดมีร้านขายของที่ระลึก มีรูปจำลองพระองค์โตให้เลือกบูชาหลายขนาด นอกนั้นก็มีพวกไม้ประคบรองเท้าแบบญี่ปุ่นและมีดดาบซามูไร การเดินทางไปวัดโคโตกุอิน (Kotoku-in Temple)

จากสถานีรถไฟ Kamakura มีวิธีการเดินทางไปวัดพระใหญ่ได้ 2 วิธีคือ

1. นั่งรถไฟสาย Enoden Line ไปลงที่สถานีฮาเสะ (Hase Station) แล้วเดินขึ้นไปทางเหนือประมาณ 10 นาที หรือจะแวะที่วัด Hasedera ก่อนไปวัดพระใหญ่ก็ได้ ค่าโดยสาร 190 เยน

2. นั่งรถเมล์ Keikyu Bus จากป้ายหมายเลข 6 หรือ Enoden Bus จากป้ายหมายเลข 2 ปลายทางที่ป้ายไดบุตสึมาเอะ (Daibutsumae Bus Stop) ค่าโดยสาร 170 เยน จากนั้นค่อยเดินลงมาชมวัด Hasedera ก่อนจะไปขึ้นรถไฟ Enoden Line ที่สถานี Hase ที่อยู่ใกล้ๆ

ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 200 เยน เด็ก 150 เยน

ค่าเข้าชมภายในองค์พระ คนละ 20 เยน

เวลาเปิดให้เข้าชม ทุกวัน

เดือนเมษายน-กันยายน 07.00-18.00 น. เดือนตุลาคม-มีนาคม 07.00-17.30 น